วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Linde Werdelin

Linde Werdelin is a company founded in 2002 by Morten Linde and Jorn Werdelin specialised in producing limited numbered watch and instrument series. Linde Werdelin is made in Switzerland; its designers are Danish. By combining both analogue and digital technologies, Linde Werdelin, produces and manufactures mechanical watches, along with instruments for skiing and diving that clip on top of the watch. Linde Werdelin produces from 22 up to 222 limited numbered watches.


Jonathan Ive


พูดถึงชื่อนี้ designer หลายๆคนอาจจะรู้จัก บางคนก็อาจจะยัง แต่ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้มาอ่าน blog72 นี้ "ต้อง" เคยได้เห็นผลงานของเค้ามาแล้วอย่างแน่นอน

Jonathan Ive (อ่านว่า โจนาทาน ไอฟ) คือคนที่ออกแบบงานประเภท Industrial Design คือเป็นคนที่คอยออกแบบสินค้า product ต่างๆ ซึ่งงานที่เด่นสุดๆ และเป็นงานประจำของเค้าก็คือ งานออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กับ Apple Computer ไม่ว่าจะเป็นตัว iMac, Macbook, iPod และ iPhone

(Apple อีกแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าผมบ้าบริษัทนี้จริงๆ ผมบ้าก็เพราะว่า design ของบริษัทนี้เป็น design ที่สามารถผสมกับ function ได้อย่างเป็นที่สุดจริงๆ เอาเป็นว่า คราวหน้าผมจะเอาเรื่องราวของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Apple มาบ้าง คราวนี้ เอาคนนี้ก่อนละกัน ลองมาดูว่า เค้าเป็นใคร ทำไมถึงทำงานได้เจ๋งขนาดนี้)

Jonathan Ive มีชื่อเต็มๆ ว่า Jonathan Paul Ive เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ 1967 ที่ประเทศอังกฤษ โดยหลังจากเรียนจบจาก Northumbria University ในปี 1985 แล้ว เค้าก็ได้ไปร่วมเปิดบริษัทกับเพื่อนชื่อ Tangerine

โดย Tangerine นี้ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ไดร์เป่าผม ทีวี และเครื่องปั้นเซรามิกต่างๆ แน่นอน Apple ก็คือหนึ่งในลูกค้าของ Tangerine ตั้งแต่ปี 1992

อย่างไรก็ตาม Jonathan Ive ได้ย้ายมาสังกัดทำงานใน Apple ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดทางด้านธุรกิจของ Apple โดยในเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่คนกุมบังเหียนของ Apple คือ John Sculley ไม่ใช่ Steve Jobs

การทำงานในช่วงนั้น เป็นช่วงที่ย่ำแย่ เพราะว่า John Sculley ไม่ได้เห็นเรื่องของการออกแบบเป็นเรื่องสำคัญ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เค้าได้มีการ outsource เรื่องการออกแบบให้กับบริษัทอื่นข้างนอกอีกด้วย

เมื่อ Steve Jobs กลับมาในปี 1997 ก็เหมือนเป็นยุคที่ Apple จะได้เกิดใหม่ การทำงานของ Jonathan Ive ก็ได้ส่งผลให้เค้าได้เลื่อนขั้นเป็น Senior Vice President of Industrial Design ผลงานของเค้าที่สร้างความตื่นเต้นให้กันทุกคนทั่วโลกเลยก็คือ iMac G3 Computer ที่มีสีสันสดใส สร้างด้วย Plastic ใสสามารถมองทะลุได้

Philippe Starck นักออกแบบแห่งศตวรรษ



Philippe Patrick Starck เกิด วันที่ 18 มกราคม 1949 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เขาได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อ ซึ่งทำงานเป็นนักออกแบบเครื่องบิน วัยเด็กเขาวิ่งเล่นอยู่ในห้องทำงานของพ่อ ที่เต็มไปด้วยกระดานวาดภาพ เลื่อย กาว และกองทราย และนั่นทำให้เขาชื่นชอบงานออกแบบ

หลังจากจบการศึกษาจาก École Nissim de Camondo ในปี 1968 เขาก็ก่อตั้งบริษัทดีไซน์แห่งแรกขึ้น โดยมีเขาและ Pirre Cardin เป็นผู้อำนวยการออกแบบ    

  สิ่ง ที่ทำให้ผลงานของเขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ก็คือ สไตล์การออกแบบของเขามักเป็นงานที่นำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเขาจะเลือกใช้วัสดุพื้น ๆ เช่น แก้ว หิน พลาสติก อะลูมิเนียม ผ้ากำมะหยี่ โครเมี่ยม แทนที่จะเป็นการสร้างงานศิลปะที่หรูเลิศอลังการจนจับต้องไม่ได้

นอกจากนี้ Starck ยัง สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ได้มากมาย ทั้งของใช้ภายในบ้าน ตั้งแต่ที่คั้นน้ำผลไม้ ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ในครัว, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ รวมถึงยังมีผลงานตกแต่งภายในอยู่ทั่วโลก ทั้งที่เป็นโรงแรม, ภัตตาคาร, ผับ, ไนท์คลับ และพิพิธภัณฑ์  แม้แต่โลโก้ Virgin Galactic หรือ คบเพลิงโอลิมปิคปี 1992 เขาก็เคยออกแบบมาแล้ว

Starck โด่ง ดังทั้งในฝรั่งเศสบ้านเกิดตัวเองและต่างประเทศ ซึ่งบ่อยครั้งเขาได้รับเชิญให้ไปทำงานตามสถานที่ในเมืองสำคัญ ๆ มากมาย เช่น โรงแรมเพนนินซูลา ฮ่องกง, โรงแรมเดลาโน ในไมอามี่ ซึ่ง Starck ก็อาศัยพรสวรรค์ของเขาเปลี่ยนแปลงสถานที่เหล่านั้นให้กลายเป็นพื้นที่อันเต็มไปด้วยเสน่ห์ น่าดึงดูด จนคนทั่วโลกกล่าวขาน

แต่งานที่สร้างชื่อให้กับ Starck ที่สุด ก็เห็นจะเป็นเครื่องคั้นน้ำผลไม้ ชื่อ Juicy Salif ที่เขาออกแบบให้กับ Alessi บริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องครัวในอิตาลี ในปี 1980 อีกชิ้นก็คือ เก้าอี้  Navy-chair ซึ่ง ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเก้าอี้ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี 2006 เก้าอี้นี้ขายดิบขายดีถึง 1 พันตัวต่อเดือน ทั้งที่มีคนงานผลิตอยู่แค่ 35 คน นอกจากนี้ ผลงานที่ร่วมงานกับแบรนด์อื่นของเขาก็กลายเป็นของสะสมของเหล่าคนที่ชอบงานดี ไซน์ทั้งโลกและคนไทย อาทิเช่น นาฬิกา Fossil ที่เป็น collection ของ Philippe Starck, เมาส์ จากไมโครซอฟท์ที่เขาออกแบบเมื่อปี 2004 

ปัจจุบัน เขามีบ้านอยู่ที่ 4 เมือง ปารีส, นิวยอร์ค, ลอนดอน และบูราโน่ ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และประวัติศาสตร์ แต่ไม่อ่านข่าว

ผมใช้ชีวิตเหมือนพระ ไม่อ่านข่าว อ่านแต่แมกกาซีนวิทยาศาสตร์

เขาชอบให้สัมภาษณ์กวนๆ เช่น เมื่อมีคนถามว่างานออกแบบชิ้นไหนที่เขาพอใจมากที่สุด เขาตอบสั้นๆว่า งานชิ้นต่อไปของผมไง บางคนจึงเรียกเขาว่า แบดบอย แต่ผลงานของเขาก็ช่วยจุดประกายให้กับวงการออกแบบได้อย่างแท้จริง

งานดีไซน์เจ๋งๆ ก็เหมือนหน้าคนน่ะแหละ วันๆ หนึ่งคุณเจอคนเป็นพัน แต่จำได้แค่ไม่กี่คน นี่คือคำพูดในบล็อกส่วนตัวที่เขาตั้งชื่อมันว่า Starck Modern Monk - Dog Matters





วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

Modern architecture


Modern architecture is generally characterized by simplification of form and creation of ornament from the structure and theme of the building. It is a term applied to an overarching movement, with its exact definition and scope varying widely. In a broader sense, early modern architecture began at the turn of the 20th century with efforts to reconcile the principles underlying architectural design with rapid technological advancement and the modernization of society. It would take the form of numerous movements, schools of design, and architectural styles, some in tension with one another, and often equally defying such classification.
The concept of modernism would be a central theme in these efforts. Gaining popularity after the Second World War, architectural modernism was adopted by many influential architects and architectural educators, and continues as a dominant architectural style for institutional and corporate buildings into the 21st century. Modernism eventually generated reactions, most notably Postmodernism which sought to preserve pre-modern elements, while Neomodernism emerged as a reaction to Postmodernism.
Notable architects important to the history and development of the modernist movement include Frank Lloyd Wright, Ludwig Mies van der Rohe, Walter Gropius, Le Corbusier, Oscar Niemeyer and Alvar Aalto.

รศ. ดร. ภิญโญ สุวรรณคีรี


     
รศ. ดร. ภิญโญ สุวรรณคีรี เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2480 ที่จังหวัดสงขลา ได้รับการเรียนการสอนทางด้านศิลปะไทยตั้งแต่เด็กๆ ต่อมาได้เข้ารับการศึกษาปริญญาตรีทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบการศึกษาปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ด้วยใจรักทางด้านศิลปวัฒนธรรมไทยจึงเป็นอาจารย์มาตลอด โดยสอนด้านศิลปวัฒนธรรมไทย ลายเขียนไทย และสถาปัตยกรรมไทย
เนื่อง จากผลงานด้านสถาปัตยกรรมไทยของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายๆแห่ง ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เช่น วัดกุสินารามมหาวิหาร ที่ประเทศอินเดีย วัดไทยที่ลุมพินี ประเทศเนปาล พระตำหนักปากพนัง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ฯลฯ จึงทำให้ได้รับการ ประกาศเกียรติคุณจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ คนดีศรีมหาวชิราวุธ ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สถาปนิกดีเด่น บุคคลตัวอย่างด้านการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมไทย สถาปนิกผู้มีผลงานดีเด่นด้านการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมไทย ประเภทกิจกรรมและโครงการดีเด่น สถาปนิกผู้มีผลงานดีเด่น ด้านการอนุรักษ์ สร้างสรรค์ และสืบทอดผลงานสถาปัตยกรรมไทย การยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) บุคคลดีเด่นของชาติ สาขาพัฒนาสังคม (สถาปัตยกรรมไทย) ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ดม.ศ.) รางวัลนิคเคอิเอเชีย ไพรซ์ สาขาศิลปวัฒนธรรม จากประเทศญี่ปุ่น รางวัลเอเชียแปซิฟิก สาขาศิลปะวัฒนธรรม จากประเทศญี่ปุ่นอีกเช่นกัน และอื่นๆอีกมากมาย
  
คติพจน์ประจำใจ
“ชีวิต คนเรา พระเจ้ากำหนดไว้แล้ว” หมายถึงว่า ชีวิตของเราแต่ละคนตอนที่เกิดนั้น เลือกเกิดไม่ได้ มันต่างเป็นไปตามบุญและกรรมที่แต่ละคนสร้างไว้แต่ชาติปางก่อน และทุกคนเกิดมาย่อมมีทางที่พรหมลิขิตกำหนดไว้แล้ว ตัวเองเชื่ออย่างนั้น เพราะเทียบกับตัวเองดู ตอนเด็กๆไม่ได้เลือกที่จะเรียนศิลปะ แต่บังเอิญพ่อของเพื่อน ซึ่งบวชเป็นพระอยู่นั้นก็รับตนมาสอนวิชาเขียนลายไทยให้ตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ และที่ได้มีชื่อเสียง มีผลงานก็เป็นเพราะจิตใจที่รักศิลปะนี้ พระเจ้าคงจะกำหนดมาให้เราเดินมาทางนี้มาตั้งแต่แรกจริงๆ ตอนที่เป็นนักเรียน ไม่ชอบครูบาอาจารย์ จึงตัดสินใจตั้งใจเรียนทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม เพื่อที่จะได้มีอาชีพที่ไม่ได้เป็นอาจารย์ แต่ไปๆมาๆ ก็คงเป็นเพราะชะตาฟ้ากำหนด ก็หนีจากความเป็นอาจารย์ไม่พ้น ตอนนี้ก็ยังสอนให้ความรู้กับเยาวชนและทุกคนๆที่สนใจในศิลปวัฒนธรรมไทย
อุปสรรคปัญหาที่ผ่านมา และวิธีการฝ่าฟันอุปสรรค
ปกติ แล้วตนเองนั้น จะเป็นคนคิดในแง่ดีเสมอ ถึงแม้จะมีปัญหาใหญ่ๆก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอุปสรรคอะไร และเมื่อคิดแล้วว่าไม่ใช่อุปสรรค สิ่งต่างๆที่ตามมาก็จะดีขึ้นเอง แต่ เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ปัญหาที่ตนเองคิดจริงๆว่าเป็นอุปสรรคคือ ความยากจน เนื่องจากบิดาบวชเป็นพระอยู่นานหลายปี คนที่ต้องหารายได้เลี้ยงครอบครัวจึงเป็นมารดา ตนเองเป็นลูกคนโต โดยมีน้องๆอีก 7 คนที่ต้องดูแล เลยทำให้ต้องเรียนไปด้วย ทำงานเลี้ยงน้องๆไปด้วย แต่ก็โชคดีที่มีงานพิเศษให้ทำอยู่เรื่อยๆ เช่นงานทำป้ายเหล็ก งานทองเหลือง ฯลฯ จึงทำให้สามารถหาเงินให้น้องๆได้เรียนหนังสือได้ด้วย สิ่งที่ช่วยให้ข้ามอุปสรรคนี้มาได้ ก็คือ ความขยันมั่นเพียร นั่นเอง
มุมมองเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทยในปัจจุบัน
 ใน เรื่องภาพรวมของการเมืองและเศรษฐกิจไทยนั้น ตนเองก็คอยเอาใจช่วยอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าตนเองจะสามารถช่วยอะไรประเทศชาติทางด้านนี้ได้นั้น คงจะไม่มีเพราะไม่ได้เชี่ยวชาญ ส่วน เรื่องของสังคมไทยนั้น ที่มีคนกล่าวกันว่าเด็กๆสมัยนี้ มี่สนใจความเป็นไทย เอาแต่สนใจต่างประเทศหรือค่านิยมที่ผิดๆนั้น ตนเองเชื่อว่ามันไม่จริง ตนเองเชื่อว่า เด็กไทยที่ดีๆอยู่ก็มีอยู่มาก เพียงแต่เนื่องจากประชากรตอนนี้เพิ่มเยอะขึ้น ก็ก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กที่ไม่ดี ก็อาจจะเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนด้วย จากการที่ได้สอนนิสิตนักศึกษาจากหลายๆมหาวิทยาลัย ก็เห็นว่า เยาวชนไทยที่สนใจศิลปวัฒนธรรมไทยก็มีอยู่มาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี และตนเองก็จะตั้งใจเต็มที่ ที่จะเผยแพร่ความรู้เรื่องเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมไทย และศิลปวัฒนธรรมไทยต่อไป

Vincent Callebaut

vincent callebaut : สถาปนิกผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน
Vincent Callebaut ไม่ต้องการให้ใครมากำหนดกรอบให้เขา ด้วยว่าเขามักคิดค้นทฤษฏีใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง Archibiotic , Architecture Landscape Distortions , Ecosystem Abstraction ,Digital Hybridization ไม่แค่คิดเปล่า เขานำเสนอมันผ่านสถาปัตยกรรมล้ำหน้าท้าทายเวทีงานประกวดมาแล้วรอบโลก คอนเซ็ปต์ของเขาจึงเป็นที่น่าสนใจในโลกปัจจุบัน ด้วยความที่คอนเซ็ปต์หลักในสถาปัตยกรรมของ Callebaut คือ การผสมผสานวิทยาศาสตร์กับงานสำรวจทางวัฒนธรรม แล้วนำเข้าไปประมวลผลในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้ออกมาเป็นแลนด์สเคปของ สถาปัตยกรรมแบบแผนใหม่ (Architecture Landscape Distortions) หรือนามธรรมของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม (Ecosystem Abstractions ) ด้วยวิธีผสมรูปดิจิตอล เพื่อสร้างโลกที่มีความยั่งยืนและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพราะในความคิดของเขา คิดว่า สถาปนิกรุ่นยุคนี้ต้องมีชั้นเชิงและยืดหยุ่นได้ คือ วิธีการแทรกแซง เปิดรับการปรับตัวครั้งใหม่ของวิทยาศาสตร์ , ศิลปะ ,วรรณกรรม และเทคโนโลยี สถาปนิกต้องเป็นเหมือนดีเจที่นำสเปซของอาคารมามิกซ์กับความรู้ทุกแขนงให้กลม กลืน

ดังนั้น งานดีไซน์ของ Callebaut จึงเป็นงานทีมีการรวมของสิ่งมีชีวิต และเทคโนโลยี เพื่อจะสร้าง Ecopolis เมืองสีเขียวในอนาคตที่ใช้พลังงานยั่งยืน นิยามของเขา คือ Archibiotic (Arch+Bio+NICT) เป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมที่สร้างพลังงาน สร้างสิ่งที่จำเป็นเพื่อบริโภค เพราะเรากำลังเผชิญหน้ากับโลกที่รุนแรง มนุษย์อยากฟื้นธรรมชาติให้ยั่งยืนทั้งกายภาพและจิตวิญญาณ ความศิวิไลซ์จะสร้าง New Identity ขึ้นมา เพระาจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น , เศรษฐกิจ ,สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ต้องหาจุดลงตัว

สิ่งแรกที่ Callebaut เมื่อเริ่มต้นงานออกแบบ คือ ความสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในงานสถาปัตย์เปิดโอกาสให้เราได้ดี ไซน์ต้นแบบของอาคารที่ฉลาดและปรับตัวได้เหมือนสถาปัตยกรรมต้องเป็นไบโอ เทคโนโลยีที่รักษาสมดุลได้เป็น organic systems เราต้องเข้าใจการทำงานของที่อยู่อาศัยใหม่และประยุกษ์มันให้เข้ากับระเบียบ แบบแผนที่มีขั้นตอนตามลำดับขั้นของคณิตศาสตร์ สถาปัตยกรรมกับวิศวกรรมจะต้องควบรวมโมเดลของธรรมชาติเข้ากับงานดีไซน์ สถาปนิกต้องสร้างระบบออร์แกนิกนี้ขึ้นมา

จากทุกโปรเจ็คของ Callebaut ทำให้เห็นว่าการทำงานเป็นทีมของเขาต้องร่วมมือกัน ทุกทีมงานจะประมวลออกเป็นคอนเซ็ปต์ ไม่ว่าจะเป็นนักชีววิทยา ,นักเคมีวิทยา ,วิศวกร ,ศิลปิน เขาสามารถดีลกับความรู้หลากหลายด้าน จึงทำให้งานมีความน่าสนใจ เช่นงาน Anti-Smog มันเป็นงานที่ท้าทายของเขามาก คือการคิดสร้างอาคารที่มีระบบ auto – sufficient ทั้งอาคารเพื่อควบคุมบรรยากาศได้อัตโนมัติ มันเป็นความท้าทายที่จะพัฒนาขีดจำกัดของระบบนิเวศน์ ด้วยการสร้างระบบให้ได้ผลอย่างยั่งยืน ส่วนแนวความคิดที่อธิบาย investigation architecture mixing biology to information and communication technologies ได้ดี คือ Eco-mic เป็นซิมโบลใหม่ที่ต่อต้านความถดถอยของเสรีภาพ มันเป็นการสร้างเมืองในอุดมคติคล้ายกับช่วงยุคก่อนที่ทวิปอเมริกาจะถูกล่า อาณานิคมเหมือนภาพ Utopia ในปี 60 โปรเจ็คต์นี้รวมสเปซเปิดโล่งไว้ในระบบนิเวศน์ของทาวเวอร์ ความท้าทายในการต้านแรงโน้มถ่วงเป็นดังคำประกาศอิสรภาพของสถาปัตยกรรม

Ecomic (Ecological and Metropolitan Infographic Center) Mexico City ,Mexico


VINCENT CALLEBAUT นำเสนอแนวคิดทางสถาปัตยกรรมบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ถูกขนานนามว่า ‘The land of Tree-Culture” อย่างย่าน Tlateloco ในเม็กซิโกซิตี้ให้เป็นที่ตั้งของอาคาร Ecomic (Ecological and Metropolitan Infographic Center)ขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพังของฐานพีระมิด Aztec ด้วยสิ่งก่อสร้างอันหลากหลายทางวัฒนธรรมในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าโบสถ์ Santiago หรือ สถานทูตของหลายประเทศที่รายล้อมอยู่ ฉุดให้ย้อนคิดถึงความขัดแย้งในอดีตระหว่างชาว Conquistadors และ Aztecs ที่เกิดการสู้รบอย่างรุนแรงในดินแดนนี้ โดยเฉพาะการสังหารหมู่ในยุคโบราณที่รู้จักกันในนาม Massacre of Tlateloco ประเด็นนี้ถูกนักศึกษาจากฝรั่งเศส เยอรมัน และเซ็กโกสโลวาเกียนำมาสะสาง ด้วยการผลักดันให้เกิดการศึกษาตีความห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงในยุคก่อนละตินอ เมริกา ยุคล่าอาณานิคม ไปจนถึงยูโธเปียของยุคโมเดิร์น กลายมาเป็นที่มาของ Ecomic ที่แต่เดิม Mario Pani สถาปนิกชาวเม็กซิกันกันเคยเสนอแนวคิดไว้ตั้งแต่ช่วงยุค 60 วันนี้ VINCENT CALLEBAUT เลยหยิบยกขึ้นมาเป็นคอนเซ็ปต์เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นตัวแทนของการ กำเนิดใหม่ อิสรภาพ และความทันสมัย

เป้าหมายหลักของ Ecomic คือการเชื่อมโยงสเปซที่กว้างใหญ่ให้เข้าถึงกันด้วย Ecological Green Tower และสัมพันธ์กับพื้นที่ทางโบราณสถานในเวลาเดียวกัน ด้วยโครงสร้างแบบกระดูกสันหลังของอาคารที่เป็นทั้งทางสัญจรด้วย ทำให้กล่องและสวนลอยฟ้ารอบอาคารอัดแน่นด้วยฟังก์ชันพิพิธภัณฑ์ แต่ละสเปซมีมุมองออกมาได้อย่างอิสระในแต่ละยูนิต จอภาพกราฟิก (Scenography) รวมอยู่ในโครงสร้างและเปลือกอาคาร เพื่อนำเสนอข้อมูล Infographic ทั้งในส่วนภายในและภายนอกอาคาร สภาปัตยกรรมที่ทันสมัยและสนใจสิ่งแวดล้อมแห่งนี้ คงบ่งบอกความเคลื่อนไหวในประเด็นของระบบนิเวศน์และมุมมองการพัฒนาในอนาคตของ เม็กซิโกได้อย่างดี